เศรษฐกิจ-การลงทุน » แบงก์ชาติอีสาน ชี้  “พิษภาษีทรัมป์”  ส่งผลกระทบการจ้างงานภาคอีสานมากกว่า 7 หมื่นคน

แบงก์ชาติอีสาน ชี้  “พิษภาษีทรัมป์”  ส่งผลกระทบการจ้างงานภาคอีสานมากกว่า 7 หมื่นคน

19 เมษายน 2025
488   0

                การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลกอย่างมาก รวมถึงประเทศไทยและภาคอีสาน ทั้งมิติโครงสร้างการผลิต และมิติการจ้างแรงงาน โดยเฉพาะภาคเกษตรที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรหลายล้านครัวเรือน  ธุรกิจการผลิตที่มีความสามารถในการแข่งขันต่ำมีคู่แข่งในตลาดจำนวนมากคาดว่าได้รับผลกระทบมาก อาจสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด กระทบการจ้างงานภาคอีสานมากกว่า 70,000  คน

                แบงก์ชาติอีสานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งสัมภาษณ์ผู้ประกอบการในพื้นที่ พบว่า แม้ระยะสั้นผลกระทบต่อภาคการผลิตในอีสานจะมีจำกัด แต่ในระยะยาว หากไม่สามารถเจรจาปรับลดภาษีได้ ภาคการผลิตอีสานจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มสินค้า

ผลกระทบเบื้องต้นต่อการผลิตภาคอีสานจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

                นโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก (Reciprocal Tariff)ส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลกอย่างมาก สำหรับประเทศไทยเริ่มโดนผลกระทบตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 68 จากการประกาศเก็บอัตราภาษีศุลกากรเพิ่ม 25% จากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่แล้ว (MFN applied rate) กับสินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียม1 วันที่ 26 มี.ค. 68 เพิ่มอัตราภาษีศุลกากร 25% กับกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน ต่อมาวันที่ 2 เม.ย. 68 เรียกเก็บภาษีจากประเทศไทย2 สูงถึง 37%3 (ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 18.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 2567) แต่วันที่ 9 เม.ย. 68 ได้ปรับลดลงชั่วคราวเหลือ 10% เป็นระยะเวลา 90 วันแก่ทุกประเทศยกเว้นจีนที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 145% และในวันที่ 11 เม.ย. ได้ยกเว้นภาษีตอบโต้ชั่วคราว สำหรับสินค้ากลุ่มสมาร์ตโฟนคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ซึ่งในหมวดดังกล่าวจะประกาศเก็บภาษีเฉพาะเจาะจงภายหลัง (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบอัตราภาษีของแต่ละหมวดสินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯ

                สำหรับภาคอีสานคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีเพิ่มดังกล่าวทั้งมิติโครงสร้างการผลิต และมิติการจ้างงาน โดยเฉพาะภาคเกษตรที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรหลายล้านครัวเรือน ภาคอีสานมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ส่งออกโดยตรงไปยังสหรัฐฯ จากข้อมูลการส่งออก 3 ปีล่าสุด (2564-2567) มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 84,534 ล้านบาท ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีสัดส่วนส่งออกรวมกันมากกว่า 80% ประกอบด้วย ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่สินค้าเกษตร (ข้าว แป้งมันสำปะหลังยางพาราแปรรูป) มีสัดส่วนรวมกันประมาณ 6%

 ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกของภาคอีสานไปสหรัฐฯ และจำนวนการจ้างงานของแต่ละหมวดสินค้า

                เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากข้อมูลการส่งออกและการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการในพื้นที่ พบว่า ระยะสั้นในช่วงไตรมาส 2 ภาพรวมผลกระทบมีจำกัด เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ บางส่วนใช้โอกาสนี้ในการเร่งนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมจากที่ได้มีการนำเข้าไปบ้างแล้วในช่วงก่อนการขึ้นภาษี ขณะที่หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภทที่ประเทศจีนนำเข้าเพื่อเป็นชิ้นส่วนในการผลิตสินค้ามีการยกเลิกคำสั่งซื้อ เพื่อบริหารความเสี่ยงล่วงหน้า

                ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ถึงระยะยาว ในกรณีที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองภาษีได้ ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง คาดว่าได้รับผลกระทบน้อย เช่น ข้าวหอมมะลิ 4 ซึ่งเป็นสินค้าพรีเมียมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้านความหอมและนุ่มต่างจากข้าวอินเดียและเวียดนาม มีความสามารถในการแข่งขันสูง (ภาพที่ 1) ทำให้ทดแทนด้วยข้าวอื่นได้ยากเนื่องจากผู้บริโภคคนละกลุ่ม และเป็นที่นิยมของผู้ที่มีกำลังซื้อสูง โดยปัจจุบันราคาข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 988 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตัน หากปรับขึ้นจากผลของภาษี 37% จะทำให้ราคาข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 1,3685 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตันซึ่งต่ำกว่าระดับราคาสูงสุด 1,443 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตันในปี 2562 ที่ยังมีการซื้อขายปกติ จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิกว่า 2.4 ล้านครัวเรือนไม่มาก

                ภาพที่ 1 มิติความสามารถในการแข่งขันของสินค้าในแต่ละหมวดธุรกิจ และการจ้างงาน6  ความสามารถในการแข่งขันสินค้าไทย  (ร้อยละ)

                ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับกลาง คาดว่า ได้รับผลกระทบปานกลาง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ แป้งมันสำปะหลัง และยางพาราแปรรูป

                •   ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์  เป็นสินค้าที่มีคู่แข่งขันน้อย แต่ลูกค้ามีความอ่อนไหวต่อราคาค่อนข้างสูง ไม่สามารถแบกรับราคาที่ปรับขึ้นได้มากนัก ธุรกิจต้องลดต้นทุนการผลิตเพื่อชดเชยผลกระทบของภาษีหรือรับผลกระทบไว้เอง และในระยะยาวหากไม่สามารถเจรจาได้ อาจมีความเสี่ยงของการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้รับผลกระทบของภาษีน้อยกว่า หรือมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า และให้สิทธิประโยชน์สูงกว่าไทย

                • แป้งมันสำปะหลังหมวดอาหาร7 สหรัฐฯ นำเข้าแป้งมันสำปะหลังที่เป็นเกรดพรีเมี่ยมจากไทย เพราะไทยมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามและลาว เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารและอาหารสัตว์ หากขึ้นภาษี ผู้ประกอบการสหรัฐฯ อาจปรับสูตรการผลิตโดยลดการใช้แป้งมันสำปะหลังที่มีคุณภาพ และหันไปใช้วัตถุดิบอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยอาจปรับตัวโดยการลดราคาสินค้าเพื่อให้แข่งขันได้ จากการลดราคารับซื้อมันสำปะหลังซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญส่งผลให้ซ้ำเติมราคาในปัจจุบันที่อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี8 และจะกระทบกับรายได้เกษตรกรกว่า 5 แสนครัวเรือน

                • ยางพาราแปรรูป ส่วนใหญ่นำไปทำยางล้อรถยนต์ที่มีคู่แข่งสำคัญอย่างอินโดนีเซียที่ผลผลิตลดลงมากจากโรคใบร่วง ทำให้ไทยยังได้เปรียบด้านปริมาณผลผลิต ผลกระทบทางตรงจึงไม่มาก แต่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการใช้ยางและราคายางลดลง ซึ่งจะกระทบต่อรายได้เกษตรกรที่ปลูกยางพาราในอีสานกว่า 2.7 แสนครัวเรือน โดยคาดว่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นช่วงเปิดกรีดยาง

            ธุรกิจการผลิตที่มีความสามารถในการแข่งขันต่ำมีคู่แข่งในตลาดจำนวนมากคาดว่าได้รับผลกระทบมาก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีการตั้งโรงงานในหลายประเทศ หรือเป็นผู้รับจ้างผลิต (Original Equipment Manufacturer: OEM) ผู้ว่าจ้างสามารถหาโรงงานหรือผู้ผลิตรายอื่นที่ต้นทุนต่ำกว่าทดแทนได้ง่าย ประกอบกับปัจจุบันจุดแข็งด้านฝีมือแรงงานไทย ถูกมองว่าสามารถทดแทนโดยแรงงานต่างประเทศที่มีฝีมือดีขึ้น จึงอาจสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะกระทบกับการจ้างงานภาคอีสานจำนวนมากกว่า 70,000 คน9

                นอกจากผลกระทบข้างต้นแล้ว ภาคอีสานยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น การแข่งขันจะรุนแรงขึ้นจากประเทศต่าง ๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้น้อยลง และหันมาส่งออกไปยังตลาดเดียวกับเรารวมถึงส่งมายังไทย โดยเฉพาะหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สำหรับช่องทางการลงทุน การตัดสินใจผลิตและลงทุนจะหยุดชะงักบางส่วนเพราะนโยบายภาษียังมีความไม่แน่นอนสูง   ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์ภาพรวมและผลกระทบอย่างใกล้ชิด และจะดูแลการทำงานของกลไกทางการเงินให้ดำเนินไปอย่างปกติต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลความผันผวนในตลาดการเงินเพื่อลดผลกระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจริง

ส่วนเศรษฐกิจการเงิน

ธนาคารแห่งประเทศไทย

สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

18 เมษายน 2568

………………………………………………………………………………………

1 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 มี.ค. 68

2 จะไม่บังคับใช้กับสินค้ำที่สหรัฐฯ ได้เคยประกาศใช้มาตรการไปช่วงก่อนหน้า

3 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. 68

4 ปี 2567/68 ข้ำวหอมมะลิมีสัดส่วน 62.9% ของผลผลิตข้าวเปลือกภาคอีสานทั้งหมด ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

5 ราคาข้าวหอมมะลิที่สหรัฐฯ นำเข้าหลังมี Reciprocal Tariff (RT) อยู่ที่ประมาณ 1,368 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตัน คำนวณจากราคาข้าวหอมมะลิส่งออก ณ 9 เม.ย. 68 ที่ 988 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตัน + MFN rate ข้าวหอมมะลิ 14 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตัน + 37% (RT) = 988+14+365.6 = 1,367.6 ดอลลาร์ สรอ. ต่อตัน

6 มิติความสามารถในการแข่งขัน คำนวณจากสัดส่วนการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากไทยเทียบกับประเทศอื่นในหมวดสินค้าเดียวกัน (ร้อยละ) โดยข้าวหอมมะลิเป็นสัดส่วนใหญ่ที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ มิติการจ้างงาน คำนวณจากจำนวนแรงงานภาคอีสานในแต่ละหมวดสินค้า

7 แป้งมันสำปะหลังทั้งหมดในหมวดอาหารและใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ภาคอีสานส่งออกแป้งมันไปสหรัฐฯ 3.5% ของการส่งออกทั้งหมด ส่วนใหญ่ส่งออกไปจีน 63.8% รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย 8.6% และไต้หวัน 5.3% ตามลำดับ ในปี 2567 ที่มา : กรมศุลกากร

8 ราคาเฉลี่ยมันคละ 5 ปี (ปี 2563-2567) = 2.4 บาทต่อ กก. ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

9 รวมแรงงานในหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอ